เสริมประสิทธิภาพธุรกิจในปี 2563 ด้วย Augmented Intelligence
การเพิ่มขึ้นของการใช้นวัตกรรมทางเทคโนโลยีในงานต่าง ๆ ทำให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ในอุตสาหกรรม โลจิสติกส์และซัพพลายเชนก็เป็นหนึ่งในภาคที่ได้รับผลประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากที่สุด เนื่องจากกระบวนการส่วนใหญ่ของการทำโลจิสติกส์เป็นแบบแมนนวลในสมัยก่อน ทำให้อุตสาหกรรมโลจิสติกส์อาจได้รับประโยชน์มากที่สุดอย่างเห็นได้ชัดจากการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ แต่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงเดียวที่มีอิทธิพลต่ออุตสาหกรรมโลจิสติกส์และซัพพลายเชน ยังมีทั้งกฎระเบียบการขนส่งใหม่ไปจนถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก สงครามการค้าและการถดถอยทางเศรษฐกิจ ธุรกิจโลจิสติกส์จึงต้องตื่นตัวและเตรียมพร้อมสำหรับปี 2563 ตัวอย่างเช่น มาตราการ IMO 2020 และบังคับให้เรือทุกลำในโลกกว่าหลายหมื่นลำนั้นเปลี่ยนเชื้อเพลิงที่ใช้อยู่ ไม่ให้มีการปล่อยก๊าซซัลเฟอร์เกิน 0.5% จากปัจจุบันที่ 3.5% ช่วยลดมลพิษทางอากาศและส่งผลให้สภาพแวดล้อมสะอาดขึ้น และยกระดับสุขภาพของมนุษย์ให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งมาตรการนี้จะเริ่มมีผลบังคับใช้ วันที่ 1 มกราคม 2563 ซึ่งกิจการโลจิสติกส์ต่าง ๆ จะต้องเตรียมรับมือมาตรการนี้ และเทคโนโลยีก็เป็นองค์ประกอบสำคัญ
มีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณาเมื่อใกล้ถึงปี 2020 ธุรกิจโลจิสติกส์และซัพพลายเชนจะต้องเตรียมพร้อมต่อไปสำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เหล่านี้ด้วยนวัตกรรม โดยเว็บไซต์ Transmetrics ได้ระบุแนวโน้มเทคโนโลยีที่จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาธุรกิจโลจิสติกส์ 10 อันดับแรกที่ บริษัทของคุณควรจับตามองในปี 2563 ดังนี้
- ปัญญาประดิษฐ์และปัญญาเสริม (Artificial and Augmented Intelligence)
- แบบจำลองเสมือนของวัตถุทางกายภาพ (Digital Twins)
- การมองเห็นซัพพลายเชนแบบเรียลไทม์ (Real-Time Supply Chain Visibility)
- บล็อกเชน (Blockchain)
- มาตรฐานข้อมูลและการวิเคราะห์ขั้นสูง (Data Standardization and Advanced Analytics)
- ความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของผู้มาใหม่ในอุตสาหกรรม (The Growing Importance of Industry Newcomers)
- สตาร์ทอัพโลจิสติกส์ (Investment into Logistics Startups from VCs and Enterprises)
- ความยั่งยืนที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี (Sustainability Powered by Technology)
- รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ (Autonomous Vehicles)
- หุ่นยนต์คลังสินค้า (Warehouse Robotics)
โดยในบทความนี้ เราจะเริ่มต้นกันด้วยปัญญาประดิษฐ์และปัญญาเสริม
“Augmented Intelligence” หรือ “ปัญญาเสริม” นั้น เปรียบได้กับส่วนย่อยที่พัฒนาขึ้นของ Artificial Intelligence โดยแนวคิดหลักของ Augmented Intelligence คือการเลียนแบบความฉลาดของมนุษย์และขยายขีดความสามารถทางปัญญาของมนุษย์ลงในซอฟต์แวร์ เช่น หน่วยความจำและการจัดลำดับ การรับรู้ การคาดการณ์ การแก้ปัญหา ไปจนถึงการตัดสินใจ เพื่อสามารถทำให้สามารถเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้ง่ายขึ้นและเพิ่มความสามารถในการเชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ ระบบ Augmented Intelligence เป็นระบบที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลป้อนกลับ (Feedback-driven) การเรียนรู้ด้วยตนเอง (Self-learning) และการรับประกันตัวเอง (Self-assuring) เพื่อขยายความรู้ของมนุษย์ลงไปในซอฟต์แวร์และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับมนุษย์ โดยผู้ใช้งานสามารถใส่ความต้องการ เพื่อให้ระบบเกิดการพัฒนาต่อได้
สิ่งนี้จะทำให้ผู้ใช้งานและระบบเป็นส่วนเดียวกันได้ ตัวอย่างเช่นในการวางแผนโลจิสติกส์และซัพพลายเชน การใช้ Augmented Intelligence สามารถทำได้มีประสิทธิภาพกว่าการใช้ Artificial Intelligence เพียงอย่างเดียว เนื่องจาก Augmented Intelligence สามารถรวมข้อมูล (Input) ที่มนุษย์สร้าง ตั้งแต่ แผนงาน ความรับผิดชอบของส่วนงาน การบริการลูกค้า ความยืดหยุ่นในการทำงาน จนถึงความรู้สึกต่าง ต่างจากเทคโนโลยี Artificial Intelligence ที่มีกระบวนการทำงานซ้ำๆ
ปัจจุบัน ธุรกิจทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ได้นำระบบ Augmented Intelligence มาประยุกต์ใช้ ตั้งแต่การใช้ซอฟต์แวร์เพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ อัตโนมัติ เช่น การทำ Marketing Automation ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ไปจนถึงการพัฒนาประสิทธิภาพระบบ Data Analytics เป็นต้น
แหล่งที่มา: